2 พ.ย. 2556

4 ตีแตกบัญชีหุ้น

เรื่องบัญชีหุ้น นั้น เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวนักสำหรับมือใหม่ รวมถึงมือเก่าๆหลายๆคน และ เป็นเรื่องที่น้องมาเกตติ้งมักจะอธิบายได้ไม่รู้เรื่อง อย่างเป็นที่สุด และ หลายๆคนจะอธิบายแบบขอไปที ดังนั้นผมจะมา ตีแตกบัญชีหุ้นกันนะครับ วันนี้

1 Cash balance  บัญชีนี้เป็นบัญชีที่เหมาะที่สุดสำหรับมือใหม่ คือ เราฝากเงินเท่าไหร่ ซื้อขายได้เท่านั้น สามารถเปิดได้แบบไม่มีขั้นต่ำ(บางที่มี)

ข้อดี 1 เงินที่ฝากอยู่และยังไม่ได้ซื้อขายได้ดอกเบี้ย 2.5 เปอเซนต์ (คิดทุกวัน) (ดอกเบี้ยมากกว่าออมทรัพย์)
ข้อดี 2 ง่าย
ข้อดี 3 ค่าคอมมิชชันขั้นต่ำไม่มี หรือถ้ามีก็น้อยกว่าบัญชีอื่นๆ

2 Normal Cash หรือ Cash collateral การจะซื้อขายบัญชีนี้นั้นในครั้งแรก จะต้อง เงินมาจิน 15-20 เปอร์เซนต์ ไว้ในบัญชีก่อนและ เราจะต้องจ่าย/รับเงิน ที่เหลือ ใน 3 วันทำการ ( t+3) ถ้าเราซื้อขายจบภายในวันเราจะได้/เสีย ส่วนต่างๆ ในอีก 3 วัน

ในกรณีที่เรามีหุ้นอยู่ในบัญชีแล้วเราสามารถถอนเงินสดออกมาและใช้หุ้นค้ำประกันแทนได้

ข้อดี 1 เงินมาจินได้ดอกเบีเย 2.5 เปอเซนต์
ข้อดี 2 เราสามารใช้วงเงินที่เกินมาเล่นเดย์เทรดได้ฟรีๆ
ข้อเสีย 1 น้องมาเกตติ้งมักจะอธิบายบัญชีนี้ได้ค่อนข้างไม่รู้เรื่อง และเข้าใจ ยากสำหรับมือใหม่
ข้อเสีย 2 วิธีการจ่ายเงินมีหลายวิธีใช้วิการตัด ATS จะง่ายสุดแต่จะมีค่าคอมมิชชันขั้นต่ำประมาณวันละ 50-100บาท
ข้อเสีย 3 จะเปิดได้ต้องมีเงินสักแสนบาทขึ้นไป แล้วแต่ บล


ยกตัวอย่าง สมมติเรามีเงิน 1.2 ล้าน เราจะต้อง ฝากเงินเข้าบัญชี หลักทรัพย์ 2 แสนก่อน หลังจากนั้น เราก็ซื้อ หลักทรัพย์ได้เลย 1 ล้านบาท หลังจาก ครบ t +3 แล้ว เราก็ค่อยจ่ายเงิน 1 ล้านบาท พอเราจ่ายเงินเรียบร้อย เราสามารถ ถอนเงิน 2 แสนออกมา(พร้อมดอกเบี้ย) และทำการซื้อหุ้นได้อีก 2 แสนบาท  และเราสามารถ ใช้วงเงิน 1.2 ล้าน มาเล่นเดย์เทรด จบภายในวันได้ (ถ้าได้ก็โอเค แต่ถ้าเสียอีก 3 วันต้องหาเงินมาจ่ายส่วนต่างน้ออ)

3 Credit Balance หรือ Margin Account คือบัญชีกู้ยืม บัญชีนี้ เราจะต้องวางเงินไว้ 50 เปอเซนต์ และจะต้องเสียดอกเบี้ยในส่วน เกิน 50 เปอเซนต์คิดทุกวัน

ข้อดี 1 สามารถซื้อขายได้เยอะกว่า เงินที่มี 2 เท่า
ข้อเสีย 1 ต้องเสียดอกเบี้ย + กดดัน หุ้นแดงๆแล้วยังต้องจ่ายดอกเบี้ยอีก (ดอกเบี้ยถูกสุด 5.25 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเราไม่มีวอลุม นานๆ อาจโดนเรียกเพิ่มเป็น 8 เปอเซนได้ ที่อื่นประมาณ 8)
ข้อเสีย 2 ในกรณีที่หุ้นเราแดง 25-35 เปอร์เซนต์ เราจะโดนมาจินคอล
ข้อเสีย 3 ถ้าหุ้นเราลบเกิน 35 เปอร์เซ็นต์แล้วเราไม่มีเงินจ่าย เราจะโดน บังคับขายหุ้นออกมา (ฟอซเซล)
ข้อเสีย 4 จะเปิดได้ ต้องมี เงินสัก 5 แสนบาท โบรกถึงจะยอม

ยกตัวอย่าง  สมมติเรามีเงิน 1 ล้านบาท  เราจะต้องฝากเงิน 1 ล้านบาท เข้าบัญชีหลักทรัพย์
ถ้าเรายังไม่ได้ซื้อ ขาย เราจะได้ดอกเบี้ย 2.5 เปอเซนต์ ถ้าเราซื้อหุ้นเกิน 1 ล้านบาท ส่วนที่เกิน เราจะต้อง จ่ายดอกเบี้ย 5.25 เปอร์เซ็นต์ (คิดทุกวัน และมันจะลบจากมาจินเราไปเรื่อยๆ) และสามารถซื้อหุ้นได้ ทั้งหมดไม่เกิน 2 ล้านบาท



4 บัญชี Tfex บัญชี ทีเฟกซ์ จะใช้เทรด  Future, option และ SFF แต่ปัจจุบัน SFF มีวอลุมแค่บ้างตัว และ Option แทบไม่มีวอลุ่ม Future เองก็มีวอลุมเยอะเฉพาะเดือนใกล้ๆ ดังนั้น หลายๆครั้งเวลา มาร์เกตติ้งพูดถึงบัญชี Tfex น้องมาเกตติ้งมักจะหมายถึง SET50 Future อย่างเดียว (Futureกับ Option ในเมืองไทยมีแค่ตัวเดียวคือ SET 50 นะครับ)

Future ปัจจุบัน SET 50 ประมาณ 950-100 กลต กำหนดให้ วางมาจินสัญญาละ 97000 (วงเงินมาจินปรับตาม SET 50)  มีค่ารักษาสัญญาประมาณ 76000

Future นั้นมีค่าคอมมิชชัน สัญญาละ 500 และเมื่อราคาเปลี่ยน 1 จุดเราจะได้ 1000บาท แต่ในกรณีที่สัญญาเราผิดทาง จนมูลค่าพอตเราลดต่ำกว่า 76000 เราจะโดนมาจินคอล และถ้าไม่มีจ่ายเราก็จะต้องโดน Force Sell  ตามระเบียบ

Option กับ SFF ขอไม่พูดถึง เพราะไม่ค่อยน่าสนใจในปัจจุบัน ถ้าใครอยากรู้ส่งข้อความาถามส่วนตัวได้ครับ

ข้อดี 1 Future เป็น Product ที่มี Leverage สูงคือสามารถทำกำไรได้มากกว่าและเสียมากกว่าด้วย
ข้อเสีย 1 เข้าใจยาก
ข้อเสีย 2 ผิดทางอาจเจ๊งได้ง่ายๆ
ข้อเสีย 3 ต้องมีวงเงิน 150000โบรคถึงจะยอมให้เปิด (จริงๆ มีเงิน 2 พันก็ซื้อ Option ได้ เข้าใจว่ากฏนี้คงตั้งไว้ตั้งแต่ตอนที่มี Future อย่างเดียว แล้วยังไม่ได้เปลี่ยน)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Like us