18 เม.ย. 2558

12.วิธีประเมินความเสี่ยง และ ลดความเสี่ยง สำหรับเม่าๆ

วันนี้ผมจะเข้ามาเขียนในสิ่งที่ขัดกับแนวคิดของมือใหม่ส่วนมาก เพราะ คนเข้ามาในตลาดหุ้นแรกๆส่วนมาก จะเข้ามาเพราะมองโลกในแง่ดี แต่ความเสี่ยง มันคือการมองโลกในแง่ร้ายไว้ก่อน  โดยสิ่งที่ผมจะเขียนใช้ได้กับการเล่นหุ้นทุกรูปแบบครับ

เนื่องจากความเสี่ยง เป็นเรื่องยากมากกกกกกกก เขียนหนังสือได้เป็นเล่ม แต่ถ้าผมเขียนไปหมดก็คงไม่มีคนอ่าน (555) ดังนั้น จะเอาแบบ ง่ายๆ นะครับ

ความเสี่ยงในแง่ของนักลงทุนในหุ้น มือใหม่ ก็คือ การมองโลกในแง่ร้ายที่สุด มีวิธีการคิดง่ายๆดังนี้

1 สมมติเราต้องการซื้อหุ้น AAA ราคา 10 บาท และต้องการซื้อ 10,000 หุ้น คือ จำนวน 100,000 บาท
2 ผมประเมิณว่าหุ้น AAA อย่างเก่ง ก็ลงไปได้ ประมาณ 5 บาท*เต็มที่ นั่นแปลว่า ถ้าผมซื้อตอนนี้ ผมมีโอกาสขาด ทุน 50,000 บาท ( 10,000หุ้น หุ้นละ 10 บาท เหลือ 10,000หุ้น หุ้นละ 5 บาท) 
3 ลองจินตนาการ ว่าถ้าเราขาดทุน 50,000 บาท เราจะรู้สึกยังไง

  3.1 เฉยๆ จิ๊บๆ สบายๆ -- >> ไม่เสี่ยง
  3.2 เครียด หรือ แย่แน่ๆ -->> เสี่ยงมากเกินไป
  3.3ไม่รู้ -->> เสี่ยงมากเกินไป

4  ถ้าได้ผลว่า ไม่เสี่ยงก็ไม่มีอะไรต้องกังวล แต่ถ้าเสี่ยงเกินไป ก็ต้องทำการลดความเสี่ยง

วิธีลดความเสี่ยงแบบง่ายที่สุดก็คือ ลดการซืือจาก จำนวน 10,000 หุ้น ลง เหลือ 5,000 หุ้น แลวก็ลองประเมินความเสี่ยงดูอีกที (ใช้วิธีเดิมในข้อ 2-3) ถ้ายังไม่ผ่านก็ลด จำนวนที่จะซื้อลงอีก

เท่านี้ เราก็สามารถ ลงทุนในหุ้นได้อย่างสบายใจแล้วละครับ อ้อถ้าเราลงทุนในหุ้นหลายตัวก็อย่าลืมนำมาคิดรวมกันหล่ะครับ ^^

*ป.ล. บางคนอาจจะมีคำถามว่า เราจะรู้ได้อย่างไร หุ้น AAA จะลงไปได้เท่าไหร่ ซึ่งตัวผมเอง ใช้ประสบการณ์ ตัวเลข บางตัว กับ ฟีลลิ่งนิดๆ ซึ่ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับมือใหม่  ผมพอจะแนะนำได้คือ สำหรับมือใหม่ถ้าไม่ใช่หุ้นปั่น ให้ใช้ตัวเลข 50 เปอเซนไว้ได้เลยครับ ไม่ต้องกลัว แต่ถ้าเป็นหุ้น ปั่น โดยพื้นฐานให้ คิดที่ 75 เปอเซน ครับ เค้าบอกว่าคนเรามักจะประเมินได้ดีเกินไปเสมอครับ ดังนั้น ประเมินแย่ๆปลอดภัยไว้ก่อน ครับ พอเก่งแล้ว ค่อยว่ากันอีกที (ตัวเลข 50 กับ 75 เป็นตัวเลขที่ผมคิดเองจากประสบการณ์ และเผื่อไว้ให้สำหรับมือใหม่ที่เข้ามาอ่านนะครับ)

ขอให้เม่าทุกตัว ลงทุนอย่างมีความสุขครับ




10 ต.ค. 2557

1.ก้าวแรกของเม่า

เมื่อเริ่มคิดจะลงทุนในหุ้น



วันนี้อยากจะเขียนบทความเกี่ยวกับการลงทุนแบบเม่าๆ ต้อรับนักลงทุนมือใหม่ทุกคนครับ

ตลอดระยะเวลา จาก 1 สู่ 1000 คน ได้ พบ กับคำถามต่างมากมาย จึงอยากจะขอสรุปทุกอย่างในบทความครั้งนี้นะครับ ผมพยายามรวบรวมคำถามต่างๆที่มีคนถามและเขียนทั้งหมดลงในนี้ เพื่อที่อยากให้ท่านผู้อ่าน อ่านหน้านี้หน้าเดียวจากไม่เป็นจนเริ่มเทรดได้เลยครับ

1 สิ่งที่เราควรจะต้องรู้ก่อนลงทุนในหุ้น

ก่อนอื่นเลย จะเริ่มเล่นหุ้นต้องทำอย่างไร  สิ่งที่เราต้องการสำหรับการเริ่มเล่นหุ้น ประกอบด้วย 2 อย่าง

1 เงินลงทุน 1 ก้อน แนะนำว่าเป็นเงินเย็น หรือ เงินออม (ห้าพันก็เพียงพอ)

2 ความรู้ในการลงทุน

ถ้าขาด ข้อ1 คงจะลงทุนไม่ได้ ถ้าขาด ข้อ 2 ท่านจะเสียเงินฟรีๆ

ข้อ 1 นั้นแต่ละท่านคงจะต้องหากันเอาเอง
ส่วนข้อ 2 นั้น ก็สามารถหาได้จากหลายๆที่ แต่ก็อีกแหละ เดินไปหาตามร้านหนังสือ ก็มี หนังสือเกี่ยวกับหุ้นมากมาย ไม่รู้ จะเลือกเล่มไหนดี

จริงๆแล้ว วิธีการเล่นหุ้นมี สามวิธีหลักๆ

1 ออมหุ้น หรือ เรียกว่า DCA (Dollar Cost Average) การฝากเงินในหุ้นแทนแบงค์
2 VI หรือ Value investment นักลงทุนระยะยาว 5 ปี+
3 Technical analysis and Daytrade  นักลงทุนระยะสั้น (นักเก็งกำไร)

แบบที่ 1 ง่ายสุด แต่เนื่องจากมันง่ายเกินไป จึงไม่มีคนเขียนถึงวิธีนี้แบบละเอียด
แบบที่ 2 เป็นแบบที่มีชื่อเสียง แต่ถ้ามีเงินน้อยไปก็ไม่ทันใจวัยรุ่น
แบบที่ 3 รวยเร็ว แต่ก็เจ๊งเร็วพอๆกัน

ดังนั้นในระยะแรกนั้น อยากให้ลองหาข้อมูของวิธีการเล่นสามแบบนี้ดูก่อน หรือ ท่านจะไปซื้อหนังสือทั้งสามแบบ มาลองอ่านดูเลยก็ได้ หรือไม่ก็ลองหาดูใน Youtube ก็ได้นะ (ถ้าขี้เกียจอ่าน)

จะเลือกแบบไหนท่านต้องลองหาตัวเองดูสักพัก แต่ถ้าไม่เริ่มก็คงหาไม่เจอใช่มั้ยหล่ะ เอาหล่ะมาเริ่มกันดีกว่า ^^

2 เปิดบัญชีจำลอง

ดังนั้น ต่อมาที่ผมจะแนะก็คือ ให้ไปเปิดบัญชี เสมือน ที่  Click2win ท่านจะได้ทดลองเทรดกับโปรแกรมจำลองที่เหมือนจริงประมาณ 90 เปอเซน แต่มันดันให้เงินมาเยอะเกินไป (ให้มาซะ 5 ล้าน) แต่ไม่เป็นไรครับ ในขั้นนี้ ให้ท่านลองใช้โปรแกรมเทรดที่คุ้นเคยเท่านั้น

3 ติดต่อ บริษัทหลักทรัพย์ เพื่อ เปิดบัญชีสำหรับลงทุนในหุ้น

ต่อมาที่จะต้องทำก็คือ เปิดพอร์ต ด้วยบัญชี Cash Balance (บัญชีมีหลายแบบสำหรับ มือใหม่ไม่ต้องสนใจครับ เปิด Cash Balance จำไว้ Cash Balance) ซึ่งบัญชีนั้นเราต้องนำไปเปิดกับ บริษัทหลักทรัพย์ เรียกสั้นๆว่า บล. มีลักษณะคล้ายๆธนาคาร บล.จะมีหลายที่ แต่สำหรับมือใหม่ควรเลือกที่ไม่มีค่าคอมมิชชันขั้นต่ำ ที่นิยม ก็จะมี Tisco,Bauluang ครับ หลังจากท่านติดต่อไปที่ บล.เหล่านี้ ท่านก็จะได้รู้จักกับคน หนึ่งคน มีตำแหน่งเรียกว่า มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งจะมีหน้าที่ดูแล ให้คำชี้แนะ และก็ช่วยเหลือเรา เวลาเรามีปัญหาต่างๆ ซึ่ง คนไหนจะดูแลดีไม่ดีอย่างไรก็แล้วแต่ดวง โดยทั่วไปมาร์เกตติ้งก็จะบอกเราว่าเราต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง และก็จะส่งเมสเซนเจอร์มารับเอกสาร

เมื่อเมสเซนเจอร์มาท่านจะได้รับเอกสาร ปึกใหญ่ๆ ที่ อ่านไม่รู้เรื่อง แรกๆผมเคยพยายามอ่านครับ แต่พบว่ามันไร้สาระ เชคให้แน่ใจว่าเมสเซนเจอร์ที่มาเป็นตัวจริงเป็นพอ เซนอย่างเดียวที่เหลือให้มาเกตติ้ง กรอก (จริงๆขั้นตอนนี้โดยส่วนตัวผมจะไปเซนเองที่ บล. เพื่อความชัวร์ แต่ถ้าอยู่ไกลหรือไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ ให้เค้าเอามาให้นั่นแหละ)

เซนเสร็จก็รออีกซัก 2-3 วัน น้องมาเกตติ้งก็จะโทรมา ว่าบัญชีเปิดเรียบร้อยแล้ว เราจะได้รหัส กับ พาสเหวิด สำหรับเค้าใช้บัญชี ถึงขั้นนี้ ก็ให้ เราลองเข้าบัญชีของเราได้เลย โดยให้เค้าใช้ Streaming pro ท่านก็จะพบ โปรแกรมหน้าตาแทบจะเหมือนกับใน Click2 win แต่ยังไม่มีเงิน - - และอีกสิ่งหนึ่งที่เราจะได้มาพร้อมกับการเปิด พอร์ต ก็คือโปรแกรม Efinance Thai กับ Aspen ซึ่งเป็นโปรแกรมดูกราฟ (ณ เวลานี้ เปิดมาจะยังง อยู่ใช้ไม่เป็นขออนุญาตข้ามไปก่อน นะครับ เดี๋ยวจะมาสอนทีหลัง)

4 โอนเงินเข้าบัญชี

สิ่งต่อไปที่ต้องทำก็คือการโอนเงินเข้าบัญชี ซึ่งจะมีหลายๆวิธี ผมขอแนะนำวิธีที่สะดวกที่สุดคือ Internet Banking แต่ละที่อาจจะมีเงื่อนไขต่างกันเรื่องจำนวนเงินกับเวลานิดหน่อย ตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจ ให้ท่านโทรหามาเกตติ้ง แล้วบอกว่า อยากทราบวิธีโอนเงิน ผ่าน Internet Banking โดยทั่วไปมาก็จะส่งเมลมาให้ หรืออาจจะบอกให้เราเข้าไปหาดูในเวบ อาจจะดูดีเข้าใจง่ายหรืออาจจะเป็นเมลห่วยๆที่อ่านแล้วไม่เข้าใจก็แล้วแต่ว่าเป็น บล ไหน ถ้าไม่มีบัญชี Intern Banking อยากโอนทางอื่นก็ถามมานั่นแหละครับ(โดยทั่วไปดูในเวบก็มี)

หลังจากที่ท่านโอนเงิน เสร็จ อาจจะต้องรอสัก สองสาม ชั่วโมง หรือ 1 วัน ก็สามารถเข้าไปเริ่มเทรดในบัญชีจริงได้เลย

5 เริ่มเทรดได้แล้วครับ
เมื่อเริ่มเทรดแรกๆสิ่งที่เราควรทำคือเทรดด้วยปริมาณเงินน้อยๆก่อนครับ ลองฝึกดูก่อนว่าวิธีการเทรดต่างๆที่เราใช้ Click2win นั้นเป็นอย่างไร หลายๆคนคงจะมีคำถามว่าซื้ออะไรดี จริงๆแล้ว การเลือกซื้อหุ้นซักตัว แต่ละคนจะมีวิจารณญาณไม่เหมือนกัน สำหรับมือใหม่ผมแนะนำให้ ลองเลือกซื้อหุ้น จาก SET 50 หรือ SET HD ดูก่อน เพราะหุ้นเหล่านี้ มีการผันผวนในระดับที่ไม่มากจนเกินไป และก็ขอให้เพิ่มพูนความรู้ และประสบการณ์ในการซื้อขายหุ้นไปเรื่อยเมื่อพร้อมก็ค่อยๆเพิ่มวงเงิน เข้าไปครับ อย่าใจร้อน


สำหรับทุกคนที่ได้อ่านบทความของผม ท่านเป็นคนที่โชคดีกว่าผม ตอนที่ผมเริ่มลงทุนนั้น กว่าจะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ ก็ใช้เวลานานโข อยู่ ส่วนมากมาเกติติ้งจะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับนักลงทุนหน้าใหม่และนักลงทุนเด็กๆมากนัก คงจะมีมาเกตติ้งน้อยคนที่จะมานั่งอธิบายจนท่านเข้าใจ (พูดตรงๆไม่เคยเจอ)

สุดท้าย ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ





22 ก.พ. 2557

11 มารู้จักกับตลาดหุ้นกัน

มารู้จักกับตลาดหุ้น ผ่านบทความ เม่าน้อยกันนะครับ บางอันก็จำๆเค้ามา (แต่จำไม่ได้จริงๆว่ามาจากไหน) บางอันก็คิดเอง เออ เอง จากประสบการณ์ครับ ^^

1 ดัชนีของตลาดเป็นตัวบอกอนาคต ไม่ใช่ปัจจุบัน ราคาหุ้นก็เป็นราคาในอนาคต ไม่ใช่ปัจจุบันเช่นกัน
2 ตลาดหุ้น มี ทั้งหมด สามช่วง คือ เทรนด์ขึ้น เทรนด์ลง และไซด์เวย์ ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าอยู่ในช่วงไหน
3 เวลาตลาดหุ้นขึ้นลง เป็น Elliot wave ระหว่างขึ้นต้อบงมีย่อ ระหว่างลง ต้องมีเด้งเสมอ
4 ถ้าคิดถึงความเสี่ยงกับผลตอบแทน เค้าบอกว่าหุ้นเป็นสินทรัพย์ที่คุ้มที่สุด จริงรึเปล่าก็ไม่รู้ เห็นคนเขียนมาในเฟซบุค แต่ ไม่รู้ พิสูจน์ยังไง (ใครรู้บอกที)
5 ตลาดหุ้น ทั่วโลก ถ้าเรามีเวลามันก็จะกลับมาทำ new high ได้เสมอ แต่บางที กว่าจะทำ new high มาก็ร่วม 20 ปี
6 การซื้อ ลอตเดียวทั้งหมด กับหุ้น ตัวเดียว ไม่เป็นความคิดที่ดีแน่นอน ไม่ว่าจะ VI หรือเทคนิค
7 ดร.นิเวศน์ ที่ว่าเซียนๆก็ยังเคยเลือกหุ้นผิดพลาด (ดร.แกเขียนบอกเลยในหนังสือ) ดังนั้นอย่าได้มั่นใจในหุ้นที่เลือกมากเกินไป
8 การวิเคราะห์ หุ้น มี 3 องค์ประกอบ คือ จิตวิทยา(ข่าว) กราฟเทคนิคอล และ พื้นฐาน หุ้นไทยให้เพิ่มเจ้าไปด้วยอีกอย่างหนึ่ง
9 Black sholes model เป็นสิ่งที่ คนที่ ซื้อ วอแรน กับ dw ควรจะรู้จัก แต่กลับมีคนรู้จักน้อยจน น่าตกใจ
10 ตลาดหุ้นลงเร็วกว่าขึ้นเสมอ
11 กราฟเทคนิคอล มักจะแม่นขาขึ้น ไม่แม่นขาลง เหตุผล เพราะ ข้อ 10
12 คนเล่น เทคนิคอล ส่วนมาก ไม่รู้จักหรือไม่สนใจ Money management กับ Drawdown
13 มือใหม่ส่วนมากชอบวัดผลการเล่นจากกำไรกันจากเงินที่ทำได้ ในระยะสั้นๆ สองสามปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ถ้าจะวัดผลการเล่นในระยะสั้นๆนั้นควรจะต้องวัด เทียบกับดัชนีมากกว่า แต่ถ้าจะวัดเป็นกำไร หล่ะก็ ควรจะวัด 10 ปีขึ้นไป เพราะควรจะเล่นจนแน่ใจว่า ตลาด ได้ผ่านครบทั้ง ไซเคิลขึ้นและลงแล้ว
14  ตลาดหุ้น เป็น Non Zero sum game แปลง่ายๆคือ เวลาได้ทุกคนได้พร้อมกันหมด เวลาเสียทุกคนเสียพร้อมกันหมด ดังนั้น ไม่ต้องตกใจที่เวลาหุ้นขาขึ้น เทพจะเยอะ ส่วนเวลา หุ้นขาลง เทพแค่ไหนก็เงิบเหมือนกันหมด ไม่ต้องห่วง
15  ผลิตภัณฑ์ ทางการเงิน มีมากมาย ตั้งแต่ ตั๋วเงินคลัง พันธบัตร กองทุน หุ้น วอแรนต์ dw ฟิวเจ้อ ออปชัน ค่าเงิน ดัชนี คอมโมดิตี้ CFD ทองคำ แต่ละอันมีความเสี่ยง ต่างกัน โดยทั่วๆไปแล้ว ถ้าเล่นหุ้นได้กำไร และอยากเสี่ยงมากขึ้น ค่อยเอากำไรไปเล่นกับ ตัวที่เสี่ยงมากขึ้น เป็นความคิดที่ดีกว่าการเอาเงินไปซื้อหุ้น แบบเสี่ยงๆ (ไร้ Money management)
16 จริงอยู่ ที่คนที่รวยที่สุดในโลก รวยด้วย VI แต่ไม่ได้แปลว่า VI เจ๊งไม่ได้ ที่เมกา ก็มี วีไอเคยเจ๊งนะจะบอกให้
17 ดร.นิเวศน์อยู่ในตลาดหุ้น 10 ปีกว่าจะเริ่ม VI มันไม่ได้เป็นกันได้ในวันเดียว ไม่ต้องรีบ
18 พื้นฐานไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จริงๆแล้ว เทคนิคอลเป็นเรื่องยากกว่าพื้นฐานมากเลยทีเดียว ผมเห็นหลายๆคนเข้าใจว่า แค่เล่นตามจุดตัดขึ้นลงของกราฟและได้กำไร ซึ่งมันเกิดขึ้นเฉพาะในตลาดหุ้นขาขึ้น ใครที่เล่นมานานพอ จะรุ้ว่ามันไม่จริงเลย
19 เทคนิคอลไม่มีถูกต้อง 100 เปอเซน ถูก 60 เปอเซนก็หรูแล้ว
20 ราคาของหุ้นจะต้องเข้าใกล้ปัจจัยพื้นฐาน เมื่อระยะเวลาผ่านไป 3-5 ปี แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น เสมอไป มีหุ้นบางตัวที่ราคาไม่เคยไปใกล้ปัจจัยพื้นฐานเลย
21 มือใหม่ ส่วนมาก ซื้อหุ้น ไปแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ได้คิดว่าจะขายตอนไหน จะถือนาน แค่ไหน พอหุ้นตกแดงๆ แล้วก็จะเริ่มมาดู พื้นฐาน กับ กราฟ สุดท้าย มักจะจบด้วยคัทลอสไม่ก็ติดดอยไปในที่สุด ^^


^^ ขอให้ทุกท่านสนุกกับการลงทุน ใครมีอะไรก็แชกันได้ครับ ผม เม่าน้อยอ่อนประสบการณ์ เขียนเล่น ยามดึก ^^

9 ก.พ. 2557

10.เม่าน้อยคุยเรื่องปันผล

วันนี้ ผมจะมาเขียนว่าด้วยเรื่องของปันผล

นักลงทุนหน้าใหม่หลายๆคนมักจะ พยายามมองหาหุ้น ปันผล โดยการ ดูจาก Dividend Yield ซึ่งเป็นความเข้าใจ ที่ไม่ถูกต้องนัก

ทำไมหน่ะหรือ ??? จุดอ่อน ก็คือ วิธีการคิด Dividend Yield ซึ่งคิดจาก เงินปันผล (ที่ผ่านมาในปีนี้) หารด้วยราคาปัจจุบัน แต่ Dividend Yield ที่เราต้องการ จริงๆ คือ เงินปันผล ในปีหน้า หารด้วยราคาที่เราซื้อ

ดังนั้น ก่อนอื่น เลย เราต้องเข้าใจ ก่อน ว่า ปันผลมาจากไหน ??

เมื่อบริษัท นำเงินของนักลงทุน ไปลงทุน ก็จะ เกิด กำไรขึ้น

กำไรทีได้จะถูกแบ่งออกเป็น สอง ส่วน

1 ลงทุนต่อ ทำให้เกิด Growth สินทรัพย์เพิ่ม และจะส่งผลให้ ราคาหุ้น เพิ่มขึ้น โดยอัตโนมัติ
2 ปันผล จ่ายคืนแก่ผู้ถือหุ้น ซึ่งแต่ละบริษัท มีนโยบาย จ่ายเงินปันผล ไม่เท่ากัน บาง บริษัท จ่าย 25 เปอเซนของกำไร บางบริษัท จ่าย 40 หรือ 100 เปอเซนของกำไร


ฮะ >< ดังนั้นการที่เอาแค่ Dividend Yield มาเปรียบเทียบกันนั้น มันแทบจะบ่งบอก อะไรไม่ได้เลย  - - สิ่งที่ควรจะไปดูคือ กำไรตะหาก ซึ่งคิดได้ง่ายๆครับ

ผมจะยกตัวอย่างให้ดู
ปตท มี นโยบายเงินปัน ผล 25 เปอเซนดังรูป




จะเห็นว่าปีที่แล้ว ปตท มีกำไร 36.64 บาท ต่อหุ้น ดังนั้นเงินปันผล ของปีที่แล้ว ตามนโยบาย ควรจะ ได้ประมาณ 9.16 บาท แต่ปีที่แล้ว ปตท จ่ายปัน ผล2 ครั้ง รวม 13 บาท บาท

จะเห็นว่า ราคาหุ้น ปตท ปีที่แล้ว อยู่ที่ 332 บาท ถ้าเราคิด ณ ปีที่แล้ว จะได้ Dividend yield  ที่  3.9 เปอเซน

แต่ ณ ปัจจุบันราคาหุ้น ปตท ตกลงมาที่ 286 บาท เราจะคิด Dividend Yield ได้ที่ 4.5 เปอเซน


ถ้าเราดูเพิ่มเติมเราก็จะพบว่า หุ้น ปตท ถึงแม้ว่า ผลประกอบการ 9 เดือนแรก ไม่ได้มีพื้นฐานเปลี่ยนไปมากนัก

แต่มันก็มีในบางครั้งที่ราคาหุ้นตก ลง เพราะผลประกอบการไม่ดีครับ ทำให้ พอเราคิด Dividend yield แล้ว เหมือนว่าเราจะได้ปันผลมากขึ้น แต่ในความเป็นจริง เมื่อผลประกอบการไม่ดี ปีหน้า ก็จะทำให้บริษัทมีกำไรน้อยลง และได้ปันผล น้อยลง ครับ

ซึ่งถ้าใครซื้อหุ้นโดยดูแต่ Dividend  Yield หล่ะก็ ท่านอาจจะงานเข้าได้นะครับ ^^


ขอให้เม่า ทุกตัวโชคดีกับการลงทุนครับ




9.ประวัตินักลงทุน

สำหรับเพื่อนๆมือใหม่ ที่ยังค้นหาแนวทางของตัวเองไม่เจอ เราลองอ่านประวัติและแนวคิดของนักลงทุน รุ่นเก่ารุ่นใหม่ หลายๆคนดูบ้าง บางทีอาจจะช่วยได้ ครับ ^^

7 วิธีดูหุ้น 'นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ'


http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/investment/20120828/467519/7-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%99%E0%B8%9E.%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%82-%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B9%8C%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B4.html

อายุ 35 ปี ฉันจะมีเงิน "หกพันล้าน" "นานิ นิธินวกร"

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20130917/529648/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B8-35-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%89%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4-%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A3.html


โตแบบ“พอเพียง” ปีละ 40%นิยามเล่นหุ้น “ปุณยวีร์ จันทรขจร

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20130813/522469/%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87-%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B0-40%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%9B%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%88%E0%B8%A3.html


'ปิยะพันธ์ วงศ์ยะรา' เซียนหุ้น 'ไม่เต็มบาท'

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20110802/402515/%E8%BE%89%E6%BB%A6%E7%8B%99%E5%9E%A2%EF%BF%BD%E5%8D%83%E8%A4%A5%E6%BB%A6%E9%9D%A1-%E5%96%83%E7%AB%A0%E9%A1%BE%E4%BA%BB%EF%BF%BD%E6%B7%9E%E6%A0%B2%E7%94%B5%E6%A2%81%E6%9B%B3.html

ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ล้มเหลว ก่อนสำเร็จ


http://money.sanook.com/60673/%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%97-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%A1-%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99..%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99/

"วิบูลย์ พึงประเสริฐ" เซียน VI ต้นทุนหุ้น BH 15 บาท

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/bizweek/20131008/534331/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%9E%E0%B8%B6%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%90-%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-VI-%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-BH-15-%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97.html

8.ทำความเข้าใจกับ กับการ บริหารเงิน แบบง่ายๆ

วันนี้ ผม จะมายกตัวอย่างวิธีเล่นหุ้นแบบ ไม่เจ๊ง ด้วย Money Management ที่ดูแล้ว น่าจะเป็นไปได้ แต่เป็นไปไม่ได้กัน 

(บทความนี้เป็นพื้นฐานในการทำความเข้าใจ Money Management  แบบง่ายๆ เท่านั้น ไม่สามารถ นำไปใช้จริงได้นะครับ แต่

เขียนขึ้นเพื่อเป็นแนวคิด ให้ทำความเข้าใจเท่านั้นเอง )


ก่อนอื่นผมขอ ตั้งสมมติฐานก่อนครับ

1 เวลาหุ้นลงมันจะลงเป็นอีเลียตเวฟ (แปลว่ามันต้องมีการขึ้นเพื่อลงต่อ) 

2 หลังจาก หุ้น ลงไปแล้ว 50 เปอเซน จุด จะต้อง วกกลับ ขึ้นมา 20 เปอเซนทุกครั้งก่อนที่จะลงต่อ 

3 ผมมีเงินอยู่ 100 บาท 

4 การเทรดนี้ ไม่เสียค่าคอมมิชชันและภาษี

5 ผมเข้าซื้อในจุดที่แย่ที่สุดคือซื้อปุ๊บราคาตกลงไปเลย 50 เปอเซน





หุ้นที่ผมจะซื้อ เริ่มต้นที่ราคา 1 บาท

1 ผมซื้อ 30 หุ้น มูลค่า 30 บาท เหลือเงิน 70 บาท

2 หุ้นตกลง 50 เปอเร์เซนต์ ผมเหลือ 30 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.5บาท รวม 15 บาท เหลือเงินอีก 60 บาท

3 ณ จุดนี้ ผมซื้อหุ้นเพิ่มด้วยเงิน 60 บาท ผมจะมีหุ้นทั้งหมด 150 หุ้น หุ้นละ 0.5 บาท รวม 75 บาท เหลือเงินอีก 10

4 หุ้นขึ้น 20 เปอเซน จาก 0.5 เป็น 0.6 บาท 150 หุ้น ผมมีมูลค่าหุ้น 90 บาท และ เงินสดเหลืออีก 10 บาท

5 ถ้าผมขายหุ้นตอนนี้ ผมจะมีเงิน 100 บาท เท่าเดิม O_O ว้าว เล่นแบบนี้จะเจ๊งได้ยังไง

เห็นมั้ยครับ ถึงราคาหุ้นจะลดลงจาก 1 บาท ไป 0.6 บาท ทรัพย์สินเรายังอยู่ไม่หายไปไหน

^^ แบบนี้เราก็ไม่ต้องกังวลแล้วใช่ไหมหล่ะครับ หุ้น ขึ้นเราก็ได้กำไร หุ้นตกเราก็เท่าทุน


สิ่งเดียวที่จะทำให้สมมติฐานผมผิดพลาดก็คือ เงินสดเราหมดก่อน ดังนั้น ถ้าเรายังถือเงินสดไว้มากพอ หุ้นจะขึ้นหรือจะลง เราก็

มีกำไรครับ ^^

มูลค่าต่อหุ้น จำนวนหุ้น มูลค่ารวมหุ้น เงินสด มูลค่ารวม
เริ่มต้น 0 0 0 100 100
ซื้อหุ้นเพิ่ม 30 บาท 1 30 30 70 100
หุ้นตก ลง 50 เปอร์เซ็นต์ 0.5 30 15 70 85
ซื้อหุ่นเพิ่ม 60 บาท 0.5 150 75 10 85
หุ้นขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ 0.6 150 90 10 100

13 ธ.ค. 2556

1.5 วิธีเปิดบัญชีหุ้น

เพื่อนๆหลายคน มีปัญหาเกี่ยวกับการเปิดบัญชีนะครับ

วิธีการเปิดบัญชีที่ดีที่สุด  ก่อนอื่นเลือก บล ก่อนครับ
สำหรับรายย่อย ผมแนะนำ เอเชียพลัส, บัวหลวง, ทิสโก้, ธนชาติ เพราะไม่มีขั้นต่ำ

สำหรับจุดเด่นแต่ละ บล ผมขอเขียนเท่าที่ทราบดังนี้


(อันที่ผมเคยใช้ผมจะเขียนละเอียดหน่อยครับ ส่วนอันอื่นๆใครมีข้อมูลเพิ่มเติม บอกมาได้เลยครับ จะเพิ่มให้นะ)


(บทวิจัยดี เป็นความเห็นส่วนตัว ของ คุณโจลูกอีสานครับ ซึ่งผมก็เห็นด้วยครับ ส่วนข้ออื่นๆเป็นความเห็นส่วนตัวผมคนเดียวครับ  : p ) (ผมเคยใช้แค่ เอเชียพลัส บัวหลวง โนมูระ นะครับ อันอื่น ผมเขียนเท่าที่มีข้อมูลนะครับ เลยมีข้อมูลน้อยหน่อยครับ >< )





หลังจากเลือกโบรคได้แล้วก็โทรไปที่โบรคครับ

Nomura https://www.nomuradirect.com/th/help/contact-us.aspx 026385500
Financia syrus http://www.fnsyrus.com/FrmContractUs.aspx?modulekey=contact 026589000
Tisco securitues http://www.tiscosec.com/index.jsp?language=TH 026336000




(ถ้ามีคำถามเพิ่มเติมต้องการความช่วยเหลือก็ติดต่อมาที่เพจผมได้ครับ >> คลิก)



แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าเราต้องการเปิดบัญชี จนกระทั่งเราได้คุยกับ มาเกตติ้ง หรือ ที่ปรึกษาการลงทุน ให้แจ้งว่าเราต้องการเปิดบัญชีหุ้นแบบ Cash balance ไม่มีขั้นต่ำ รับเอกสารผ่านอินเตอเนต รับ จ่ายเงินผ่าน ATS ตามนี้สะดวกสุดละครับ

(Cash balance คือ ประเภทบัญชีหุ้นครับ ประเภทนี้เหมาะกับมือใหม่ที่สุดครับ)
(ATS คือการผูกบัญชีธนาคารกับบัญชีหุ้นครับ)

ทาง มาเกตติ้ง ก็จะแจ้งเราครับว่าเราต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง และเค้าจะส่งเอกสารเปิดบัญชีมาให้เราครับ อาจจะส่งจดหมาย เมสเซนเจอร์  หรือแฟกซ์ ทางใดทางหนึ่ง พอได้รับแล้ว เราก็ส่งกลับไปครับ ตอนส่งกลับน่าจะต้องเป็นจดหมาย หรือ เมสเซนเจอร์ครับ

เอกสาร ที่เราต้องเตรียมโดยทั่วไปก็จะประมาณนี้ครับ (สอบถามทางเจ้าหน้าที่อีกทีครับ)

1 บัตรประชาชน
2 สำเนาทะเบียนบ้าน
3 บุคแบงค์ + ยอดเงิน สำหรับวงเงิน
4 หน้าบุคแบงค์สำหรับ ตัดบัญชี ATS
5 เอกสารที่ มาเกตติ้งส่งมาให้เราเซ็นให้หมดแล้วส่งคืนไปครับ


รอสัก 1-2 อาทิตย์ (ไม่รวมเวลาส่งเอกสาร) เค้าจะโทรกลับมา บอกรหัสเข้าบัญชีเราครับ

ขั้นตอนต่อมาก่อนจะเทรดได้ก็คือ เราต้องโอนเงินเข้าบัญชีครับ (โดยทั่วๆไปขั้นนี้ควรโทรไปถามมาเกตติ้งครับ แต่มาเกตติ้งมักจะขี้เกียจตอบ หรือบอกไม่ครบ ครับ)

วิธีการโอนเงินที่สะดวกที่สุด คือ ATS ครับ เราแค่ฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารที่เราผูก ATS ไว้ แล้วเราเข้าไปกด ฝากเงินในเวบของ โบรกเกอร์ครับ ก็เทรดได้แล้วครับ

วิธีที่สะดวกต่อมา คือ โอนผ่าน Internet Banking ของ KBANK,Bauluang,SCB ครับ คือการโอนเงินผ่านธนาคารนั่นแหละครับ โอนแล้วก็โทรไปบอกมาเกตติ้งให้ตรวจสอบให้เราครับ อาจจะใช้เวลานานนิดนึงครับ

วิธีอื่นๆเช่นฝากเค้าเตอร์ธนาคาร ผมไม่ค่อยแนะนำครับ เพราะต้องเดินทางไปธนาคาร แต่มาเกตติ้งหลายๆคนชอบบอกให้ใช้วิธีนี้ ง่ายต่อเค้าแต่ลำบากเราครับ  - -

หลังจากนั้นก็รอสัก30นาที นะครับ แล้วแต่โบรค ส่วนมาก สักครึ่งชั่วโมง ก็สามารถ ซื้อขายได้ละครับ






Like us